วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล "ศรีตรัง" ลงทุนหมื่นล้านรับยางโลกฟื้น
นับจากส่งบริษัทลูก “ศรีตรังโกลฟส์” (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) STGT เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เพื่อลุยในส่วนของธุรกิจถุงมือยางเต็มรูปแบบ ผลตอบรับดีมาก ความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกที่เติบโตสูงขึ้น 12% พลอยหนุนให้บริษัทแม่ ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ดีขึ้นตามไปด้วย “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล” กรรมการบริหาร STA ถึงกลยุทธ์การรักษาการเติบโต
วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร STA
STA หลังสปินออฟ STGT
STA ดีก่อนที่จะสปินออฟแล้ว เพราะเติบโตจากผลประกอบการถุงมือยางก่อนเข้าตลาด ช่วงโควิดมาต้นปียิ่งทำให้รายได้ในส่วนนี้เติบโตขึ้น ปัจจุบันระดับราคาหุ้น STA จาก 10 บาทขึ้นมา 30 บาท ราคายังโฮลอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนรายได้หลักจากยางธรรมชาติ ซึ่งราคายางปีที่แล้วไม่ได้แย่เหมือนบางปี มีลดลงไปช่วงมีนาคมเช่นเดียวกับสินค้าคอมโมดิตี้อื่น หลังจากนั้นราคายางเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปีเฉลี่ยราคาสูงขึ้น 16%
ทิศทางยางธรรมชาติปีนี้
“ปีนี้ผมมองว่าน่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว คอมโมดิตี้ฉีดวัคซีน เดินทาง เพราะน่าจะมีการบริโภคมากขึ้นแปลว่าดีมานด์เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มราคาที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้ก็ 60-70 บาทอยู่แล้ว
เพราะว่าโรงงานผลิตยางล้อของจีนปิดไปเพิ่งเริ่มกลับมาใช้ (รีซูม) ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้วเราก็รีบรันการผลิตเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาขาดไปช่วงต้นปี ปีที่แล้วดีมานด์หายไปพอสมควร ส่วนราคาจะขึ้นถึง 100 บาทอาจจะยากเพราะซัพพลายไม่ได้หายไปขนาดนั้นแต่ปัจจัยสำคัญปีนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวคนเดินทางมากขึ้น ซื้อรถมากขึ้นเครื่องบินอาจจะมีการเปลี่ยนยางล้อมากขึ้น ข้อมูลของต่างประเทศไออาร์เอสจีคาดว่าดีมานด์ยางธรรมชาติทุกชนิดปี 2021 จะโต 7% ศรีตรังมีแนวโน้มเติบโตสอดรับไปกับดีมานด์โลก”
กางแผนลงทุนใหม่
ในปีที่ผ่านมาศรีตรังได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 30% จากกำลังการผลิตเดิม โรงงานใหม่ที่ขยายเพิ่มจะเริ่มเดินเครื่องผลิตในปีนี้ ส่วนปีนี้วางงบประมาณ Capex ทั้งกลุ่ม 11,000-12,000 ล้านบาท
“ศรีตรังจะมีการลงทุนโรงงานน้ำยางข้น และปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานยางแท่ง และ SRP ในส่วนธุรกิจต้นน้ำของเรามีแผนจะขยายการลงทุนปลูกกัญชงนำร่องก่อนตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริม เราก็มองว่าน่าจะเป็นการซินเนอร์ยีที่ดีเพราะกลุ่มเรามีความเชี่ยวชาญด้านการปลูก และประสิทธิภาพการปลูก”
ปรับพอร์ตการลงทุน
ภาพรวมใหญ่ ๆ อีก 10 ปีข้างหน้า ยังเน้นเรื่องถุงมือ ปัจจุบันตัวเลขรายได้ (ปี 2020) ถุงมือยางมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท จากปี 2019 ที่มีมูลค่าแค่ 10,000 ล้านบาท ส่วนยางธรรมชาติอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท ในอนาคตจะขยายสัดส่วนถุงมือยางโตอีกกว่าเท่าตัว
โดยอาจปรับสัดส่วนจากตอนนี้ยางธรรมชาติ 59% ถุงมือ 41% ในอนาคตทั้งสองกลุ่มอาจจะมีสัดส่วนเท่ากัน 50 : 50 แต่จะเป็นแบบนี้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับราคาขายด้วย เช่น ปีก่อนราคายางธรรมชาติเพิ่ม 16% ปี 2009 ราคาพุ่งไปถึง 200 บาทต่อ กก. ยอดขายเราถึงแสนล้านบาท ในขณะที่เราเล็กกว่าปัจจุบัน 3 เท่า
“คอร์บิสซิเนสยังคงบาลานซ์ทั้งสองตัวควบคู่กัน เพราะเราเป็นผู้นำการผลิตยางธรรมชาติอยู่ มีจุดแข็ง ถุงมือก็มีจุดแข็งอยู่แล้ว”
กลยุทธ์ที่จะรักษาการเติบโต
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ศรีตรังขยายยางแท่งทุกปีจนเราเป็นอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่องมา 10-20 ปี ทิ้งห่างคู่แข่งพอสมควร ต่อไปในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะเน้นขยายในส่วนของถุงมือ ส่วนยางธรรมชาติก็มีการขยายไปแล้ว ซึ่งมองว่าจะยังรักษาอันดับไว้ได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จากสมัยก่อนขยายโรงงานเร็วมาก แต่สมัยนี้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมาร์เก็ตแชร์ด้วยการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าเดิม 2 เท่า
“ลูกค้าหลัก ๆ ของยางแท่งเรามีอยู่ในมืออยู่แล้ว ส่วนลูกค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมายังมีน้อย ไม่ได้เยอะแบบมีนัยสำคัญ ถามว่าดีมานด์ยางแท่งจะถึงจุดอิ่มตัวไหม มันเติบโตต่อเนื่อง อาจจะมีบางปีหดตัวบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นสินค้าคอมโมดิตี้ที่ยังจำเป็นต้องใช้เทียบกับยางสังเคราะห์มี 30 ชนิด แต่ยางธรรมชาติมีชนิดเดียว ปริมาณการใช้ก็ยังเติบโตและแข็งแกร่งไปอีกนาน”
ที่มา : prachachat